- เข้าร่วม
- 15 มิ.ย. 2024
- ข้อความ
- 460
กำลังเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงและฮือฮาของแฟนบอลบนโลกโซเชี่ยลอยู่ขณะนี้สำหรับ นีลล์ เอเธอริดจ์ นายด่านทีมชาติฟิลิปปินส์ ที่เคยผ่านประสบการณ์บนเวทีพรีเมียร์ลีกกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ โดยมีรายงานว่าเจ้าตัวได้ย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของพลพรรค “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าของแชมป์ไทยลีก 9 สมัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังเจ้าตัวเพิ่งหมดสัญญากับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ กลายเป็นฟรีเอเยนต์ก่อนที่ทัพปราสาทสายฟ้าจะเข้าไปเจรจาพร้อมดึงตัวมาร่วมทีมได้สำเร็จ และวันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับผู้รักษาประตูดีกรีไม่ธรรมดารายนี้กันให้มากขึ้น
จุดเริ่มต้น
นีลล์ เอเธอริดจ์ เกิดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1990 ปัจจุบันอายุ 34 ปี โดยมีคุณพ่อเป็นชาวอังกฤษ และคุณแม่เป็นชาวฟิลิปปินส์ เกิดและเติบโตที่อังกฤษ เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับทีมเยาวชนของ เชลซี ช่วงระหว่างปี 2003-2006 ก่อนโยกไปเฝ้าเสาทีมเยาวชนของฟูแล่มก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้รับโอกาสลงสนามเลยแม้แต่เกมเดียว หลังจากนั้นเส้นทางฟุตบอลของเขาชีพจรลงเท้าถูกปล่อยยืมให้กับแต่ละสโมสรมากมายทั้ง เลเทอร์เฮด, ชาลตัน แอธเลติก, บริสตอล โรเวอร์ส, ครูว์ อเล็กซานดร้า และโอลแฮม แอธเลติก ก่อนได้ย้ายไปร่วมทัพด้วยสัญญาถาวรในปี 2014 แต่ก็เป็นได้เพียงตัวเลือกมือ 2 และ มือ 3 เท่านั้น
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต
นีล เอเธอริดจ์ ยังคงไม่ย่อท้อที่จะเดินหน้าหาโอกาสเฝ้าต่อไปทั้งกลับร่วมทีม ชาลตัน แอธเลติก รวมถึงย้ายไปร่วมทีม วอลซอลล์ ดูเหมือนว่าการย้ายทีมครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตของเขาก็ว่าได้หลังได้โอกาสที่เพิ่มมากขึ้นสามารถยึดมือหนึ่งได้สำเร็จ โดยลงสนามช่วยทีมไปทั้งหมด 81 นัด ด้วยความมั่นใจทำให้เข้าโชว์ฟอร์มได้โดดเด่น ฝีมือเกิดไปเตะตา คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ก่อนที่จะถูกดึงมาเฝ้าเสาในฤดูกาล 2017/18 และในฤดูกาลนั้นเขามีส่วนสำคัญช่วยให้ทัพ "เดอะ บลูเบิร์ดส์" กลับขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้เคยเล่นอยู่บนลีกสูงสุดในฤดูกาล 2013/14 อย่างไรก็ตาม นีล เอเธอริดจ์ พา คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ โลดแล่นบนพรีเมียร์ลีกได้เพียงฤดูกาลเดียวต้องตกชั้นกลับมาสู่เดอะแชมเปี้ยนชิพอีกครั้ง หลังจากนั้นสถานการณ์ของเขากับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เริ่มไม่แน่นอนตกเป็นมือ 2 อยู่บ่อยครั้งทำให้ต้องย้ายไปร่วมทีม เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในช่วงฤดูกาล 2020/21 ก่อนลงสนามรับใช้ทีมรวมทั้งสิ้น 70 นัด
เวทีระดับชาติ
นีล เอเธอริดจ์ ตัดสินใจเลือกที่จะรับใช้ทีมชาติฟิลิปปินส์แผ่นดินแม่ ซึ่งก็ต้องบอกกันตามตรงว่ามีโอกาสได้ลงเฝ้าระดับชาติมากกว่ารอไปติดทีมชาติอังกฤษ เพราะมองว่าเป็นโอกาสที่ยากและต้องฝ่าด่านกับนายด่านดีกรีระดับพรีเมียร์ลีกมากมายหลายคน การที่ทัพตากาล็อคได้นายด่านประสบการณ์สูงมาร่วมทีมถือเป็นผลดีที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลของฟิลิปปินส์ และปัจจุบันเขาคือกัปตันทีมที่ทีมแทบขาดไม่ได้
ทายาทสืบทอดมือหนึ่ง "ศิวรักษ์"
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทุ่มค่าเหนื่อยมหาศาลดึงตัว นีล เอเธอริดจ์ มาร่วมทีม เพื่อเข้ามาเป็นทายาทมือ 1 ถัดจาก ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ที่อายุเพิ่งย่างเข้า 40 ปี ตลอดที่ผ่านมาสโมสรดังแดนอีสานใต้พยายามหาตัวแทนระดับท็อปที่จะเข้ามาสืบทอดมือหนึ่งให้กับทีมซึ่งมองว่าเป็นตำแหน่งสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อหาคนที่ใช่ที่สุด กระทั่งจังหวะที่นายด่านวัย 34 ปี เพิ่งหมดสัญญากลายเป็นฟรีเอเยนต์ ทำให้ไม่รอช้าที่จะเดินหน้าเจรจาก่อนบรรลุข้อตกลงกันได้ในที่สุด และแน่นอนว่าเมื่อมีภาพชูเสื้อออกมาแล้ว เราก็จะได้เห็นนายด่านประสบการณ์สูงที่เคยผ่านเวทีพรีเมียร์ลีกเข้ามาโลดแล่นในไทยลีกเพิ่มอีกราย และคอยติดตามชมกันว่าเขาจะเข้ามาช่วยยกระดับบุรีรัมย์ได้มากน้อยแค่ไหน มาติดตามไปพร้อมกัน
จุดเริ่มต้น
นีลล์ เอเธอริดจ์ เกิดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1990 ปัจจุบันอายุ 34 ปี โดยมีคุณพ่อเป็นชาวอังกฤษ และคุณแม่เป็นชาวฟิลิปปินส์ เกิดและเติบโตที่อังกฤษ เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับทีมเยาวชนของ เชลซี ช่วงระหว่างปี 2003-2006 ก่อนโยกไปเฝ้าเสาทีมเยาวชนของฟูแล่มก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้รับโอกาสลงสนามเลยแม้แต่เกมเดียว หลังจากนั้นเส้นทางฟุตบอลของเขาชีพจรลงเท้าถูกปล่อยยืมให้กับแต่ละสโมสรมากมายทั้ง เลเทอร์เฮด, ชาลตัน แอธเลติก, บริสตอล โรเวอร์ส, ครูว์ อเล็กซานดร้า และโอลแฮม แอธเลติก ก่อนได้ย้ายไปร่วมทัพด้วยสัญญาถาวรในปี 2014 แต่ก็เป็นได้เพียงตัวเลือกมือ 2 และ มือ 3 เท่านั้น
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต
นีล เอเธอริดจ์ ยังคงไม่ย่อท้อที่จะเดินหน้าหาโอกาสเฝ้าต่อไปทั้งกลับร่วมทีม ชาลตัน แอธเลติก รวมถึงย้ายไปร่วมทีม วอลซอลล์ ดูเหมือนว่าการย้ายทีมครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตของเขาก็ว่าได้หลังได้โอกาสที่เพิ่มมากขึ้นสามารถยึดมือหนึ่งได้สำเร็จ โดยลงสนามช่วยทีมไปทั้งหมด 81 นัด ด้วยความมั่นใจทำให้เข้าโชว์ฟอร์มได้โดดเด่น ฝีมือเกิดไปเตะตา คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ก่อนที่จะถูกดึงมาเฝ้าเสาในฤดูกาล 2017/18 และในฤดูกาลนั้นเขามีส่วนสำคัญช่วยให้ทัพ "เดอะ บลูเบิร์ดส์" กลับขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้เคยเล่นอยู่บนลีกสูงสุดในฤดูกาล 2013/14 อย่างไรก็ตาม นีล เอเธอริดจ์ พา คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ โลดแล่นบนพรีเมียร์ลีกได้เพียงฤดูกาลเดียวต้องตกชั้นกลับมาสู่เดอะแชมเปี้ยนชิพอีกครั้ง หลังจากนั้นสถานการณ์ของเขากับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เริ่มไม่แน่นอนตกเป็นมือ 2 อยู่บ่อยครั้งทำให้ต้องย้ายไปร่วมทีม เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในช่วงฤดูกาล 2020/21 ก่อนลงสนามรับใช้ทีมรวมทั้งสิ้น 70 นัด
เวทีระดับชาติ
นีล เอเธอริดจ์ ตัดสินใจเลือกที่จะรับใช้ทีมชาติฟิลิปปินส์แผ่นดินแม่ ซึ่งก็ต้องบอกกันตามตรงว่ามีโอกาสได้ลงเฝ้าระดับชาติมากกว่ารอไปติดทีมชาติอังกฤษ เพราะมองว่าเป็นโอกาสที่ยากและต้องฝ่าด่านกับนายด่านดีกรีระดับพรีเมียร์ลีกมากมายหลายคน การที่ทัพตากาล็อคได้นายด่านประสบการณ์สูงมาร่วมทีมถือเป็นผลดีที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลของฟิลิปปินส์ และปัจจุบันเขาคือกัปตันทีมที่ทีมแทบขาดไม่ได้
ทายาทสืบทอดมือหนึ่ง "ศิวรักษ์"
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทุ่มค่าเหนื่อยมหาศาลดึงตัว นีล เอเธอริดจ์ มาร่วมทีม เพื่อเข้ามาเป็นทายาทมือ 1 ถัดจาก ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ที่อายุเพิ่งย่างเข้า 40 ปี ตลอดที่ผ่านมาสโมสรดังแดนอีสานใต้พยายามหาตัวแทนระดับท็อปที่จะเข้ามาสืบทอดมือหนึ่งให้กับทีมซึ่งมองว่าเป็นตำแหน่งสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อหาคนที่ใช่ที่สุด กระทั่งจังหวะที่นายด่านวัย 34 ปี เพิ่งหมดสัญญากลายเป็นฟรีเอเยนต์ ทำให้ไม่รอช้าที่จะเดินหน้าเจรจาก่อนบรรลุข้อตกลงกันได้ในที่สุด และแน่นอนว่าเมื่อมีภาพชูเสื้อออกมาแล้ว เราก็จะได้เห็นนายด่านประสบการณ์สูงที่เคยผ่านเวทีพรีเมียร์ลีกเข้ามาโลดแล่นในไทยลีกเพิ่มอีกราย และคอยติดตามชมกันว่าเขาจะเข้ามาช่วยยกระดับบุรีรัมย์ได้มากน้อยแค่ไหน มาติดตามไปพร้อมกัน