- เข้าร่วม
- 15 มิ.ย. 2024
- ข้อความ
- 460
ศึกยูโร 2024 เมื่อคืนที่ผ่านมามีลงทำการแข่งขันกัน 3 คู่โดยเป็นเกมรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี ระหว่าง สโลวาเกีย ที่พบกับ ยูเครน รวมถึงสองคู่จาก กลุ่ม ดี โดยเป็นเกมระหว่าง โปแลนด์ กับ ออสเตรีย รวมถึงเกมบิ๊กแมทช์คู่ดึกระหว่าง ฝรั่งเศส กับ เนเธอร์แลนด์
สโลวาเกีย 1-2 ยูเครน
(ชรานซ์ 17 / ชาปาเรนโก้ 54 ยาเรมชุค 80)
เกมที่ ดุสเซลดอร์ฟ อารีนา สโลวาเกีย ออกนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 17 จาก อิวาน ชรานซ์ หลังจากนั้น ยูเครน พยายามเปิดเกมบุกแลกและมาได้ 2 ประตูในครึ่งหลังจาก มีโคลา ชาปาเรนโก้ นาทีที่ 54 หลังจากนั้น โรมัน ยาเรมชุค มายิงประตูชัยช่วยให้ ยูเครน แซงชนะไปได้ 2-1 ในที่สุด
โปแลนด์ 1-3 ออสเตรีย
(เปียเทก 30 / เทราเนอร์ 9 บอมการ์ทเนอร์ 66 อาร์เนาโตวิช 78)
เกมที่ โอลิมปิก สเตเดี้ยม ออสเตรีย ออกนำเร็วจาก เกอร์นอต เทราเนอร์ ตั้งแต่นาทีที่ 9 หลังจากนั้น โปแลนด์ มาตีเสมอได้สำเร็จจาก คริซตอฟ เปียเทก นาทีที่ 30 จากนั้นครึ่งหลัง คริสตอฟ บอมการ์ทเนอร์ มายิงให้ ออสเตรีย ออกนำ 1-2 นาทีที่ 66 ท้ายเกม มาร์โก้ อาร์เนาโตวิช มายิงจุดโทษส่ง ออสเตรีย คว้าชัยไปด้วยสกอร์ 3-1
เนเธอร์แลนด์ 0-0 ฝรั่งเศส
เกมที่ เรดบูลล์ อารีนา ต่างฝ่ายต่างเน้นเล่นอย่างรัดกุม แม้จะมีโอกาสลุ้นประตูแต่ก็ยังขาดความเฉียบคมกันทั้งสองฝ่าย โดยครึ่งหลัง เนเธอร์แลนด์ มีโอกาสส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จจาก ชาบี ซิมอนส์ แต่สุดท้าย VAR จับว่ามีจังหวะล้ำหน้าไปก่อน และจบ 90 นาทีไปด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์ 0-0
ทัพตราไก่ยังไร้พิษสงในเกมรุก
แม้นัดแรก ขุนพล ''เลส์ เบลอส์" จะเฉือน ออสเตรีย ไปด้วยสกอร์ 1-0 แต่ประตูชัยที่พวกเขาได้มาจากการทำเข้าประตูตัวเองของคู่แข่ง อ็องตวน กรีซมันน์ ควรจะมีชื่อเป็นผู้ผลิตสกอร์ในนัดนี้ แต่กลับพลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาได้โอกาสลุ้นทำประตูไป 4 ครั้งในครึ่งแรก จากโอกาสยิง 5 ครั้งของทีม เฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่ อาเดรียง ราบิโอต์ ได้หลุดเข้าไปก่อนจะจิ้มบอลไปให้เขา แต่บอลมันดันย้อนหลัง กรีซมันน์ ไปเล็กน้อย ทำให้เจ้าตัวยิงไม่ถนัด แถมในครึ่งหลังเขาได้โอกาสยิงจ่อ ๆ ในกรอบ 6 หลา แต่ไปติดเซฟ บาร์ท แฟร์บรู๊กเก้น จอมหนึบดัตช์ สองนัดแรก ฝรั่งเศส สร้างโอกาสลุ้นทำประตูไปทั้งหมด 29 ครั้ง ตรงกรอบ 6 แต่ไม่มีชื่อนักเตะฝรั่งเศสทำประตูสักคนเดียว ถือเป็นครั้งแรกของพวกเขาที่เตะสองเกมแรกในศึก ยูโร รอบแบ่งกลุ่ม รอบสุดท้ายโดยที่ไม่มีชื่อผู้เล่นพวกเขาผลิตสกอร์
เมื่อทีมไร้ซึ่ง เอ็มปัปเป้
ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือทัพ ''เลส์ เบลอส์'' ตัดสินใจไม่ส่ง คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ที่จมูกแตกจากเกมแรกลงเล่นในนัดนี้แม้แต่นาทีเดียว แม้ดูเหมือนว่าเจ้าตัวอยากจะลงเล่นก็ตาม กุนซือวัย 55 ปี วางหมาก 4-4-1-1 โดยที่แดนกลาง 4 ตัว เป็น ราบิโอต์ (ริมเส้นฝั่งซ้าย), ชูอาเมนี่, ก็องเต้, เดมเบเล่ โดยมี กรีซมันน์ เป็นหน้าต่ำคอยสนับสนุน ตูราม ที่ยืนเป็นหัวหอกตัวเป้า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือ เกมรุกทางกราบซ้ายของพวกเขาดูขาดมิติไปอย่างเห็นได้ชัด โดยทาง เตโอ แอร์กน็องเดซ แบ็กซ้ายจอมบุกที่มักเติมสูงเป็นประจำ ขาดการประสานงานหรือเล่นร่วมกันกับเพื่อนร่วมทีมตรงริมเส้นฝั่งซ้าย ทำให้ความอันตรายสำหรับเกมรุกทางฝั่งนั้นลดลงไปเยอะ เมื่อไม่มีนักเตะอย่าง เอ็มบัปเป้ อยู่ในสนาม อาเดรียง ราบิโอต์ ถูกสั่งให้ไปยืนริมเส้นฝั่งซ้ายเวลายืนป้องกัน โดยเวลาบุกหรือสร้างเกมรุกจะยืนเป็นมิดฟิลด์ตามปกติ และเติมเกมรุกทางด้านซ้ายเป็นบางครั้ง แม้หลาย ๆ จังหวะ ราบิโอต์ จะทำได้ดีก็ตาม แต่เขาไม่ใช่ผู้เล่นที่มีความเร็วแบบปีกที่ทะลุทะลวง หรือ ทำลายหลังบ้านคู่แข่ง
สโลวาเกีย 1-2 ยูเครน
(ชรานซ์ 17 / ชาปาเรนโก้ 54 ยาเรมชุค 80)
เกมที่ ดุสเซลดอร์ฟ อารีนา สโลวาเกีย ออกนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 17 จาก อิวาน ชรานซ์ หลังจากนั้น ยูเครน พยายามเปิดเกมบุกแลกและมาได้ 2 ประตูในครึ่งหลังจาก มีโคลา ชาปาเรนโก้ นาทีที่ 54 หลังจากนั้น โรมัน ยาเรมชุค มายิงประตูชัยช่วยให้ ยูเครน แซงชนะไปได้ 2-1 ในที่สุด
โปแลนด์ 1-3 ออสเตรีย
(เปียเทก 30 / เทราเนอร์ 9 บอมการ์ทเนอร์ 66 อาร์เนาโตวิช 78)
เกมที่ โอลิมปิก สเตเดี้ยม ออสเตรีย ออกนำเร็วจาก เกอร์นอต เทราเนอร์ ตั้งแต่นาทีที่ 9 หลังจากนั้น โปแลนด์ มาตีเสมอได้สำเร็จจาก คริซตอฟ เปียเทก นาทีที่ 30 จากนั้นครึ่งหลัง คริสตอฟ บอมการ์ทเนอร์ มายิงให้ ออสเตรีย ออกนำ 1-2 นาทีที่ 66 ท้ายเกม มาร์โก้ อาร์เนาโตวิช มายิงจุดโทษส่ง ออสเตรีย คว้าชัยไปด้วยสกอร์ 3-1
เนเธอร์แลนด์ 0-0 ฝรั่งเศส
เกมที่ เรดบูลล์ อารีนา ต่างฝ่ายต่างเน้นเล่นอย่างรัดกุม แม้จะมีโอกาสลุ้นประตูแต่ก็ยังขาดความเฉียบคมกันทั้งสองฝ่าย โดยครึ่งหลัง เนเธอร์แลนด์ มีโอกาสส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จจาก ชาบี ซิมอนส์ แต่สุดท้าย VAR จับว่ามีจังหวะล้ำหน้าไปก่อน และจบ 90 นาทีไปด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์ 0-0
ทัพตราไก่ยังไร้พิษสงในเกมรุก
แม้นัดแรก ขุนพล ''เลส์ เบลอส์" จะเฉือน ออสเตรีย ไปด้วยสกอร์ 1-0 แต่ประตูชัยที่พวกเขาได้มาจากการทำเข้าประตูตัวเองของคู่แข่ง อ็องตวน กรีซมันน์ ควรจะมีชื่อเป็นผู้ผลิตสกอร์ในนัดนี้ แต่กลับพลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาได้โอกาสลุ้นทำประตูไป 4 ครั้งในครึ่งแรก จากโอกาสยิง 5 ครั้งของทีม เฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่ อาเดรียง ราบิโอต์ ได้หลุดเข้าไปก่อนจะจิ้มบอลไปให้เขา แต่บอลมันดันย้อนหลัง กรีซมันน์ ไปเล็กน้อย ทำให้เจ้าตัวยิงไม่ถนัด แถมในครึ่งหลังเขาได้โอกาสยิงจ่อ ๆ ในกรอบ 6 หลา แต่ไปติดเซฟ บาร์ท แฟร์บรู๊กเก้น จอมหนึบดัตช์ สองนัดแรก ฝรั่งเศส สร้างโอกาสลุ้นทำประตูไปทั้งหมด 29 ครั้ง ตรงกรอบ 6 แต่ไม่มีชื่อนักเตะฝรั่งเศสทำประตูสักคนเดียว ถือเป็นครั้งแรกของพวกเขาที่เตะสองเกมแรกในศึก ยูโร รอบแบ่งกลุ่ม รอบสุดท้ายโดยที่ไม่มีชื่อผู้เล่นพวกเขาผลิตสกอร์
เมื่อทีมไร้ซึ่ง เอ็มปัปเป้
ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือทัพ ''เลส์ เบลอส์'' ตัดสินใจไม่ส่ง คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ที่จมูกแตกจากเกมแรกลงเล่นในนัดนี้แม้แต่นาทีเดียว แม้ดูเหมือนว่าเจ้าตัวอยากจะลงเล่นก็ตาม กุนซือวัย 55 ปี วางหมาก 4-4-1-1 โดยที่แดนกลาง 4 ตัว เป็น ราบิโอต์ (ริมเส้นฝั่งซ้าย), ชูอาเมนี่, ก็องเต้, เดมเบเล่ โดยมี กรีซมันน์ เป็นหน้าต่ำคอยสนับสนุน ตูราม ที่ยืนเป็นหัวหอกตัวเป้า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือ เกมรุกทางกราบซ้ายของพวกเขาดูขาดมิติไปอย่างเห็นได้ชัด โดยทาง เตโอ แอร์กน็องเดซ แบ็กซ้ายจอมบุกที่มักเติมสูงเป็นประจำ ขาดการประสานงานหรือเล่นร่วมกันกับเพื่อนร่วมทีมตรงริมเส้นฝั่งซ้าย ทำให้ความอันตรายสำหรับเกมรุกทางฝั่งนั้นลดลงไปเยอะ เมื่อไม่มีนักเตะอย่าง เอ็มบัปเป้ อยู่ในสนาม อาเดรียง ราบิโอต์ ถูกสั่งให้ไปยืนริมเส้นฝั่งซ้ายเวลายืนป้องกัน โดยเวลาบุกหรือสร้างเกมรุกจะยืนเป็นมิดฟิลด์ตามปกติ และเติมเกมรุกทางด้านซ้ายเป็นบางครั้ง แม้หลาย ๆ จังหวะ ราบิโอต์ จะทำได้ดีก็ตาม แต่เขาไม่ใช่ผู้เล่นที่มีความเร็วแบบปีกที่ทะลุทะลวง หรือ ทำลายหลังบ้านคู่แข่ง