สั่งลาโรนัลโด้! ฝรั่งเศสแม่นโทษ ดับโปรตุเกส 5-3 เข้ารอบรองฯ
ฟุตบอลยูโร 2024 รอบ 8 ทีมสุดท้าย เกมระหว่าง ฝรั่งเศส พบ โปรตุเกส จบ 90 นาทีด้วยสกอร์ 0-0 ต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาทีก็ยังเท่ากัน 0-0 สุดท้ายต้องมาดวลจุดโทษหาผู้ชนะ แล้วเป็นฝรั่งเศสที่ยิงเด็ดขาดกว่า เป็นฝ่ายเข้าวิน 5-3
เกมที่สนาม โฟล์คสปาร์คสตาดิโอน ในช่วง 90 นาที ฝรั่งเศส มีโอกาสยิง 13 ครั้ง แบ่งเป็นของ คีลิยาน เอ็มบ๊าปเป้, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, อุสมาน เด็มเบเล่, ออเรเลียง ชูอาเมนี่ และ เอดู คามาร์วิงก้า คนละ 2 ครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้
ฟากฝั่ง โปรตุเกส มีโอกาส 10 ครั้ง แบ่งเป็นของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 2 ครั้ง ขณะที่ วิตินญ่า กับ แบร์นาโด้ ซิลวา ก็มีโอกาสคนละ 2 ครั้งเช่นกัน ทางด้าน บรูโน่ แฟร์นานเดส มีโอกาสมากที่สุด 3 ครั้ง ก็ไม่มีสกอร์เช่นกัน
ช่วงดวลจุดโทษ 3 คนแรกของฝรั่งเศสอย่าง อุสมาน เด็มเบเล่, ยูสซุฟ โฟฟาน่า และ ฌูลล์ คุนเด้ ยิงเข้าทั้งหมด ขณะที่โปรตุเกส พลาด 1 คนคือ เจา เฟลิกซ์ ทำให้ฝรั่งเศสได้เปรียบ 3-2
มาถึงคนที่ 4 แบรดลี่ บาร์โคล่า ของฝรั่งเศสยิงเข้า ขยับหนีเป็น 4-2 และโปรตุเกสยิงไล่มาเป็น 3-4 จาก นูโน่ เมนเดส แต่สุดท้ายเป็น เธโอ เอร์กนองเดซ ที่มายิงให้ฝรั่งเศส เข้าวินอย่างเด็ดขาด 5-3 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปพบกับ สเปน ที่เอาชนะ เยอรมัน ในช่วงต่อเวลา 2-1
ฟุตบอลยูโร 2024 รอบ 8 ทีมสุดท้าย เกมระหว่าง ฝรั่งเศส พบ โปรตุเกส จบ 90 นาทีด้วยสกอร์ 0-0 ต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาทีก็ยังเท่ากัน 0-0 สุดท้ายต้องมาดวลจุดโทษหาผู้ชนะ แล้วเป็นฝรั่งเศสที่ยิงเด็ดขาดกว่า เป็นฝ่ายเข้าวิน 5-3
เกมที่สนาม โฟล์คสปาร์คสตาดิโอน ในช่วง 90 นาที ฝรั่งเศส มีโอกาสยิง 13 ครั้ง แบ่งเป็นของ คีลิยาน เอ็มบ๊าปเป้, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, อุสมาน เด็มเบเล่, ออเรเลียง ชูอาเมนี่ และ เอดู คามาร์วิงก้า คนละ 2 ครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้
ฟากฝั่ง โปรตุเกส มีโอกาส 10 ครั้ง แบ่งเป็นของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 2 ครั้ง ขณะที่ วิตินญ่า กับ แบร์นาโด้ ซิลวา ก็มีโอกาสคนละ 2 ครั้งเช่นกัน ทางด้าน บรูโน่ แฟร์นานเดส มีโอกาสมากที่สุด 3 ครั้ง ก็ไม่มีสกอร์เช่นกัน
ช่วงดวลจุดโทษ 3 คนแรกของฝรั่งเศสอย่าง อุสมาน เด็มเบเล่, ยูสซุฟ โฟฟาน่า และ ฌูลล์ คุนเด้ ยิงเข้าทั้งหมด ขณะที่โปรตุเกส พลาด 1 คนคือ เจา เฟลิกซ์ ทำให้ฝรั่งเศสได้เปรียบ 3-2
มาถึงคนที่ 4 แบรดลี่ บาร์โคล่า ของฝรั่งเศสยิงเข้า ขยับหนีเป็น 4-2 และโปรตุเกสยิงไล่มาเป็น 3-4 จาก นูโน่ เมนเดส แต่สุดท้ายเป็น เธโอ เอร์กนองเดซ ที่มายิงให้ฝรั่งเศส เข้าวินอย่างเด็ดขาด 5-3 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปพบกับ สเปน ที่เอาชนะ เยอรมัน ในช่วงต่อเวลา 2-1
