- เข้าร่วม
- 15 มิ.ย. 2024
- ข้อความ
- 460
ศึกยูโร 2024 เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมามีลงทำการแข่งขันกัน 3 คู่โดยเป็นเกมรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี ระหว่าง ฝรั่งเศส ที่จะพบกับ ออสเตรีย และอีกสองคู่จาก กลุ่ม อี ทั้ง โรมาเนีย พบ ยูเครน และ เบลเยียม พบ สโลวาเกีย
ยูเครน 0-3 โรมาเนีย
(สตานคู 29 มาริน 53 ดรากัส 57)
เกมที่ ฟุตบอล อารีนา มิวนิค เป็น โรมาเนีย ที่พลิกล็อคนำก่อนจาก นิโคแล สตานคู ในนาทีที่ 29 จากนั้นครึ่งหลังในนาทีที่ 53 รัซวาน มาริน มาบวกลูกสองให้ทีมได้สำเร็จ ก่อนที่ 4 นาทีต่อมา เดนิส ดรากัส มายิงลูกสามส่ง โรมาเนีย พลิกล็อคเอาชนะ ยูเครน ไปได้ 3-0
เบลเยียม 0-1 สโลวาเกีย
(ชรานซ 7)
เกมที่ แฟรงค์เฟิร์ต อารีนา อิวาน ชรานซ์ ยิงให้ สโลวาเกีย ออกนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 7 หลังจากนั้น เบลเยียม พยายามโหมบุกอย่างหนัก และมีโอกาสส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้ถึงสองครั้งจาก โรเมลู ลูกากู ซึ่งถูก VAR จับล้ำหน้าและ แฮนด์บอลไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนจะจบ 90 นาทีไปด้วยชัยชนะสุดพลิกล็อคของ สโลวาเกีย ในที่สุด
ออสเตรีย 0-1 ฝรั่งเศส
(โวเบอร์ 38 [OG])
เกมที่ ดุสเซลดอร์ฟ อารีนา ช่วงแรกเป็น ฝรั่งเศส ที่ทำได้ดีกว่า แต่หลังจากนั้น ออสเตรีย ดูจะปรับตัวได้ดีขึ้นและเล่นได้คู่คี่สูสี ต้านทานเกมรุกของทีมตราไก่ได้ดี พลางครองบอลหาโอกาสเข้าทำได้เป็นระยะ แต่แล้วสุดท้ายต่างฝ่ายก็ทำได้แค่เกือบก่อนจะจบเกมไปด้วย 3 คะแนนของ ฝรั่งเศส แต่ก็แลกมาด้วยอาการบาดเจ็บของสตาร์อันดับหนึ่งอย่าง คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ที่จมูกแตกจนต้องเปลี่ยนตัวออกทันทีในช่วงท้ายเกม
เก็บตกประเด็นหลังเกมคู่ระหว่าง ฝรั่งเศส พบกับ ออสเตรีย
ก่อนหน้านี้ทีมชาติ อังกฤษ หนึ่งในตัวเต็ง ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปแบบการเล่นที่ดูไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่ เพราะหนักไปทางระมัดระวังตัวเองและเน้นผลการแข่งขัน และกับ ฝรั่งเศส ภายใต้การควบคุมของ ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ ก็คงจะถูกวิจารณ์ไม่แพ้กันสำหรับนัดแรกของศึกยูโร 2024 แถมประตูชัยของพวกเขาดันเกิดจากจังหวะที่คู่แข่งโหม่งเข้าประตูตัวเองอีกต่างหาก เดส์ชองส์ พูดไว้ก่อนเกมว่า ทีมงานของเขาศึกษาการเล่นของ ออสเตรีย 4 เกมหลังสุด พวกเขาทราบดีว่าทีมของ ราล์ฟ รังนิค มีความแข็งแกร่งและน่ากลัว ที่สำคัญประมาทไม่ได้เป็นอันขาด อันที่จริงทัพ ''ตราไก่'' น่าจะชนะมากกว่านี้ แต่ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ กัปตันทีม ยิงหลุดออกกรอบไปอย่างน่าเหลือเชื่อจากจังหวะหลุดเดี่ยวในครึ่งหลัง อย่างไรก็ตาม เมื่อบวกเพิ่มไม่ได้ ก็อย่าเสีย และพวกเขาก็คว้าสามคะแนนสำคัญไปครอง และปิดงานของตัวเองได้สำเร็จ
ทีมเวิร์คของ ออสเตรีย
แม้ชื่อชั้น ออสเตรีย จะเป็นรอง ฝรั่งเศส อยู่มาก แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็คือฟุตบอลที่เล่นกันเป็นระบบของ ราล์ฟ รังนิค พวกเขาเล่นกันเป็นทีมไม่เห็นแก่ตัว ไม่พึ่งพานักเตะเพียงคน ๆ เดียว โดยอดีตกุนซือขัดตาทัพของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ติดตั้งระบบ 4-2-3-1 ให้กับลูกทีม แผนของเขาคือ ให้นักเตะเพรสซิ่งใส่แข้งฝรั่งเศส เพื่อไม่ให้ตั้งเกมได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพรสในแดนกลางและแดนหลังของตัวเอง พวกเขาช่วยกันเล่นเกมรับและเกมรุก จัดระเบียบเกมรับได้ดี และมีสมาธิกับเกมสูงมาก พวกเขาหวงพื้นที่ของตัวเอง ไม่ต้องการเปิดพื้นที่หรือให้เวลาผู้เล่นที่มีความเร็วสูงอย่าง เอ็มบัปเป้ และ อุสมาน เดมเบเล่ มากนัก น่าเสียดายที่พวกเขามาพลาดท่าจากจังหวะที่ปราการหลังอย่าง มักซิมิเลียน วูเบอร์ โหม่งเข้าประตูตัวเองในช่วงท้ายครึ่งแรก
ยูเครน 0-3 โรมาเนีย
(สตานคู 29 มาริน 53 ดรากัส 57)
เกมที่ ฟุตบอล อารีนา มิวนิค เป็น โรมาเนีย ที่พลิกล็อคนำก่อนจาก นิโคแล สตานคู ในนาทีที่ 29 จากนั้นครึ่งหลังในนาทีที่ 53 รัซวาน มาริน มาบวกลูกสองให้ทีมได้สำเร็จ ก่อนที่ 4 นาทีต่อมา เดนิส ดรากัส มายิงลูกสามส่ง โรมาเนีย พลิกล็อคเอาชนะ ยูเครน ไปได้ 3-0
เบลเยียม 0-1 สโลวาเกีย
(ชรานซ 7)
เกมที่ แฟรงค์เฟิร์ต อารีนา อิวาน ชรานซ์ ยิงให้ สโลวาเกีย ออกนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 7 หลังจากนั้น เบลเยียม พยายามโหมบุกอย่างหนัก และมีโอกาสส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้ถึงสองครั้งจาก โรเมลู ลูกากู ซึ่งถูก VAR จับล้ำหน้าและ แฮนด์บอลไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนจะจบ 90 นาทีไปด้วยชัยชนะสุดพลิกล็อคของ สโลวาเกีย ในที่สุด
ออสเตรีย 0-1 ฝรั่งเศส
(โวเบอร์ 38 [OG])
เกมที่ ดุสเซลดอร์ฟ อารีนา ช่วงแรกเป็น ฝรั่งเศส ที่ทำได้ดีกว่า แต่หลังจากนั้น ออสเตรีย ดูจะปรับตัวได้ดีขึ้นและเล่นได้คู่คี่สูสี ต้านทานเกมรุกของทีมตราไก่ได้ดี พลางครองบอลหาโอกาสเข้าทำได้เป็นระยะ แต่แล้วสุดท้ายต่างฝ่ายก็ทำได้แค่เกือบก่อนจะจบเกมไปด้วย 3 คะแนนของ ฝรั่งเศส แต่ก็แลกมาด้วยอาการบาดเจ็บของสตาร์อันดับหนึ่งอย่าง คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ที่จมูกแตกจนต้องเปลี่ยนตัวออกทันทีในช่วงท้ายเกม
เก็บตกประเด็นหลังเกมคู่ระหว่าง ฝรั่งเศส พบกับ ออสเตรีย
ก่อนหน้านี้ทีมชาติ อังกฤษ หนึ่งในตัวเต็ง ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปแบบการเล่นที่ดูไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่ เพราะหนักไปทางระมัดระวังตัวเองและเน้นผลการแข่งขัน และกับ ฝรั่งเศส ภายใต้การควบคุมของ ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ ก็คงจะถูกวิจารณ์ไม่แพ้กันสำหรับนัดแรกของศึกยูโร 2024 แถมประตูชัยของพวกเขาดันเกิดจากจังหวะที่คู่แข่งโหม่งเข้าประตูตัวเองอีกต่างหาก เดส์ชองส์ พูดไว้ก่อนเกมว่า ทีมงานของเขาศึกษาการเล่นของ ออสเตรีย 4 เกมหลังสุด พวกเขาทราบดีว่าทีมของ ราล์ฟ รังนิค มีความแข็งแกร่งและน่ากลัว ที่สำคัญประมาทไม่ได้เป็นอันขาด อันที่จริงทัพ ''ตราไก่'' น่าจะชนะมากกว่านี้ แต่ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ กัปตันทีม ยิงหลุดออกกรอบไปอย่างน่าเหลือเชื่อจากจังหวะหลุดเดี่ยวในครึ่งหลัง อย่างไรก็ตาม เมื่อบวกเพิ่มไม่ได้ ก็อย่าเสีย และพวกเขาก็คว้าสามคะแนนสำคัญไปครอง และปิดงานของตัวเองได้สำเร็จ
ทีมเวิร์คของ ออสเตรีย
แม้ชื่อชั้น ออสเตรีย จะเป็นรอง ฝรั่งเศส อยู่มาก แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็คือฟุตบอลที่เล่นกันเป็นระบบของ ราล์ฟ รังนิค พวกเขาเล่นกันเป็นทีมไม่เห็นแก่ตัว ไม่พึ่งพานักเตะเพียงคน ๆ เดียว โดยอดีตกุนซือขัดตาทัพของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ติดตั้งระบบ 4-2-3-1 ให้กับลูกทีม แผนของเขาคือ ให้นักเตะเพรสซิ่งใส่แข้งฝรั่งเศส เพื่อไม่ให้ตั้งเกมได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพรสในแดนกลางและแดนหลังของตัวเอง พวกเขาช่วยกันเล่นเกมรับและเกมรุก จัดระเบียบเกมรับได้ดี และมีสมาธิกับเกมสูงมาก พวกเขาหวงพื้นที่ของตัวเอง ไม่ต้องการเปิดพื้นที่หรือให้เวลาผู้เล่นที่มีความเร็วสูงอย่าง เอ็มบัปเป้ และ อุสมาน เดมเบเล่ มากนัก น่าเสียดายที่พวกเขามาพลาดท่าจากจังหวะที่ปราการหลังอย่าง มักซิมิเลียน วูเบอร์ โหม่งเข้าประตูตัวเองในช่วงท้ายครึ่งแรก